งานแถลงข่าวกลุ่มบริษัทไทยเบฟประจำปี 2568 ไทยเบฟเดินหน้าสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างสรรค์คุณค่า ผ่าน PASSION 2030

กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 30 กันยายน 2568 – บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่ม”) แถลงทิศทางธุรกิจ พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างการเติบโตระยะยาว แม้ภาวะเศรษฐกิจจะยังมีความท้าทาย แต่ไทยเบฟยังคงเดินหน้าพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการทรานส์ฟอร์เมชัน ควบคู่กับการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว โดยหนึ่งในก้าวสำคัญที่เสริมแกร่งธุรกิจของกลุ่มในปีที่ผ่านมา คือ การผนวกรวมธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และการประกาศแผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “ภาวะเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ภายใต้ PASSION 2030 อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นในการเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมศักยภาพบุคลากร และเสริมแกร่งตราสินค้าของเรา ซึ่งเราเชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างไทยเบฟให้มีความคล่องตัว แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร”

หรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง พร้อมการให้บริการที่เป็นเลิศไร้รอยต่อในระดับต้นทุนที่แข่งขันได้ และ ‘Digital for Growth’ หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างรากฐานของไทยเบฟให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ พร้อมทั้งเสริมแกร่งสถานะผู้นำตลาด และเสริมสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้ต่อไปในระยะยาว

ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท

เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ก้าวถัดไป ไทยเบฟมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030

ไทยเบฟพร้อมเดินหน้าบนเส้นทางสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายด้วยความมุ่งมั่นตามพันธกิจ ‘สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต’ และวิสัยทัศน์สู่การเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร

ประเด็นสำคัญของกลุ่มธุรกิจ

ธุรกิจสุรา
ธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายงวด 9 เดือน ปี 2568 จำนวน 92,778 ล้านบาท ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ปริมาณขายรวมลดลงร้อยละ 0.8 โดย EBITDA ลดลงเป็น 22,161 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าและสนับสนุนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ธุรกิจสุราในไตรมาสล่าสุดมีกำไรที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นเสริมแกร่งในฐานะผู้นำตลาดสุราในไทยและเมียนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยการนำเสนอสินค้าพรีเมียมเพื่อตอบโจทย์ความนิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดภายในประเทศ และขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ ด้วยการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าหลัก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์”

เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน กลุ่มธุรกิจสุรามุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักในประเทศไทย พร้อมทั้งเดินหน้าขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ในประเทศไทย ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่งตราสินค้าหลักอย่าง รวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม แม่โขง และเบลนด์ 285 อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดสุราขาวและสุราสีในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นผลักดันสุราไทยให้เป็นที่รู้จักบนเวทีโลก โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดเรื่องราวแหล่งที่มาของวัตถุดิบคุณภาพ มรดกทางวัฒนธรรม และความประณีตของงานฝีมือ ผ่านตราสินค้าสุราไทยคุณภาพระดับสากล อาทิ แสงโสม แม่โขง พระยา รวงข้าว สยาม แซฟไฟร์ และอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่ม คือ การเปิดตัว ‘PRAKAAN (ปราการ)’ ผลิตภัณฑ์ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของไทยเมื่อปลายปี 2567 ซึ่งสะท้อนความเป็นไทยอย่างชัดเจนด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของตราสินค้า เพียงไม่กี่เดือนหลังจากการเปิดตัว PRAKAAN (ปราการ) ก็ได้รับการยอมรับในระดับสากล และสามารถคว้ารางวัลมากมายจากเวทีระดับโลก โดยเฉพาะ PRAKAAN SELECT CASK (ปราการ ซีเล็คท์ คาสก์) ที่คว้ารางวัล Category Winner ในหมวด Single Malt, No Age Statement จากเวที World Whiskies Awards 2025 และเพื่อต่อยอดความสำเร็จในประเทศไทยและเอเชีย กลุ่มเดินหน้าขยายตลาดสินค้า PRAKAAN (ปราการ) สู่สหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การขายและการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการรับรู้ตราสินค้าในระดับสากล พร้อมทั้งวางรากฐานการเติบโตในระยะยาว

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มได้ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคด้วยการเปิดตัว ZATO (ซาโต้) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มที่ยกระดับการหมักสาโทข้าวหอมมะลิแบบดั้งเดิมของไทยไปอีกขั้น โดยมาในรูปแบบกระป๋อง มีแคลอรี่ต่ำ และมี 2 รสชาติ ได้แก่ โคล่า บอมบ์ (Cola Bomb) และเลม่อน ไลม์ ฟิซ (Lemon-Lime Fizz) หลังจากเปิดตัวเพียงไม่กี่เดือน ZATO (ซาโต้) ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับการยอมรับในระดับโลกด้วยการคว้ารางวัลเหรียญทองในหมวด Ready-to-Drink จากเวที The Spirits Business Competition รางวัลเหรียญเงินจากเวที San Francisco World Spirits Competition 2025 และรางวัลเหรียญทองแดงจากเวที International Wine & Spirit Competition (IWSC) การคว้ารางวัลจากเวทีระดับสากลเหล่านี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ ZATO (ซาโต้) และเป็นการสะท้อนศักยภาพของนวัตกรรมไทยให้เป็นที่รับรู้บนเวทีโลก

สำหรับตลาดเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ (Grand Royal Whisky) ยังคงครองตำแหน่งตราสินค้าวิสกี้อันดับ 1 ในประเทศ ด้วยการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานที่แข็งแกร่งได้ ท่ามกลางความท้าทายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยกลุ่มยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจและรักษาความเป็นผู้นำในตลาด นอกจากนี้ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากสินค้าวิสกี้ ด้วยการเปิดตัว Chingu Soju (ชินกู โซจู) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในเมียนมา โดยปัจจุบันมีให้เลือก 5 รสชาติ ได้แก่ เฟรช สตรอว์เบอร์รี องุ่นเขียว พีช และโยเกิร์ต

ในส่วนของตลาดต่างประเทศ ไทยเบฟมุ่งเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ครอบคลุมตั้งแต่สก็อตช์วิสกี้ คอนญัก นิวซีแลนด์วิสกี้ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ของไทย ไปจนถึงรัมบ่มอายุ โดยมุ่งเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางการขายเฉพาะกลุ่มและที่สนามบิน อีกทั้งยังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยใช้โอกาสครบรอบสำคัญของตราสินค้าหลัก อาทิ การครบรอบ 200 ปีของ Old Pulteney ในปี 2569 การครบรอบ 100 ปีของ Larsen ในปี 2569 และการครบรอบ 10 ปีของ Cardrona ในช่วงปลายปี 2568 จัดทำกิจกรรมการตลาดเพื่อเสริมแกร่งให้แก่ตราสินค้าอย่างต่อเนื่อง และได้เพิ่มศักยภาพการผลิตด้วยการขยายคลังสินค้าในเมืองแอร์ดรี สหราชอาณาจักร เพื่อรองรับความต้องการวิสกี้พรีเมียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงวางแผนขยายกำลังการผลิตที่โรงกลั่นในประเทศนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว ‘Caorunn Tom Yum Infused Gin’ เหล้าจินรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัด เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 170 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักร โดยนำเอารสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยมาหลอมรวมกับศิลปะการกลั่นจินแบบดั้งเดิมของสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นการผสานวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว

นอกเหนือจากการขับเคลื่อนการเติบโตแล้ว ธุรกิจสุรายังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการติดตามความเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบหลักอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณาและส่งเสริมการขายอย่างรอบคอบ

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจสุรายังให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน โดยได้เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ผ่านการติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาในโรงงานหลายแห่ง ทั้งภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งดำเนินโครงการจัดการของเสียอย่างครบวงจร เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ตลอดจนการขยายโรงผลิตก๊าซชีวภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำพลังงานกลับมาใช้ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ธุรกิจเบียร์
ในช่วง 9 เดือน ปี 2568 ธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ซึ่งยังทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะตลาดที่ท้าทายในประเทศเวียดนาม แม้ว่าจะมีปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ก็ตาม นอกจากนี้ยังมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA margin) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.5 เป็นร้อยละ 13.0 อันเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลง และประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เป็น 12,573 ล้านบาท

นายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เบียร์โค ลิมิเต็ด กล่าวว่า “แม้ว่าการบริโภคในตลาดเวียดนามจะชะลอตัวลง แต่ธุรกิจเบียร์ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบ และการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยเรายังคงมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลักอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับสถานะของตราสินค้าช้างในประเทศไทย และเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดของซาเบโก้ในประเทศเวียดนาม เพื่อวางรากฐานธุรกิจเบียร์ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทั้งสองตลาดหลัก”

สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย
นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เรายังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่ง ช้าง ซึ่งเป็นตราสินค้าหลักของเรา และเบียร์อันดับ 1 ของประเทศไทย พร้อมเสริมสร้างการมองเห็นตราสินค้าและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมและกิจกรรมการตลาดที่ทรงพลัง ภายใต้กลยุทธ์หลัก 6 ประการ ที่ครอบคลุมการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม เพิ่มศักยภาพการกระจายสินค้า ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืน”

กลยุทธ์หลักทั้ง 6 ประการ ประกอบด้วย

  1. การบริหารจัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Brand Portfolio Management):
  • มุ่งมั่นเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดของช้างคลาสสิก ผ่านการขยายช่องทางจัดจำหน่ายและกิจกรรมการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นการสร้างการรับรู้ผ่านแพลตฟอร์มดนตรีและกีฬา
  • ยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยการเสริมแกร่งตราสินค้าช้างโคลด์บรูว์ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดแมสพรีเมียม (mass premium) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
  • นอกจากนี้ เบียร์ช้างยังเป็นที่ยอมรับในด้านมาตรฐานการผลิตที่เป็นเลิศ โดยช้างคลาสสิกและช้างเอสเปรสโซ่ลาเกอร์ สามารถคว้ารางวัลเหรียญทองจากเวทีอันทรงเกียรติอย่าง World Beer Championship 2025 จัดโดย Beverage Testing Institute ขณะที่ช้างโคลด์บรูว์ คว้ารางวัลเหรียญทองจาก British Bottlers’ Institute Awards 2025 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทีที่ทรงเกียรติที่สุดในอุตสาหกรรมและมีประวัติยาวนานกว่า 70 ปี

2. เสริมแกร่งด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (Strengthen Route-to-Market): เดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่องทั้งการบริโภคที่บ้านและการบริโภคที่ร้าน ด้วยการเสริมสร้างการมองเห็นสินค้า การมีสินค้าพร้อมจำหน่าย การใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัล การสร้างตราสินค้าที่ทรงพลัง และการผสานความร่วมมือกับร้านค้าและสถานที่จำหน่าย

3. ความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงาน (Operational Excellence): การใช้วัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทางการค้าอย่างเหมาะสม การนำระบบอัตโนมัติมาใช้กับกระบวนการทำงานที่สำคัญ รวมถึงการพัฒนาระบบการส่งมอบสินค้าถึงผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น

4. เสริมศักยภาพบุคลากร (Unlock People Capability): ลงทุนในการพัฒนาบุคลากรผ่านการฝึกอบรม การเสริมสร้างทักษะ การสนับสนุนด้านเครื่องมือและทรัพยากร เพื่อยกระดับศักยภาพการดำเนินงาน พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ

5. ความยั่งยืน (Sustainability): ยกระดับการดำเนินด้านความยั่งยืนด้วยการใช้พลังงานสะอาดและวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้

6. สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ตราสินค้าช้าง (Unlock Value of the Chang Brand): มองหาโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ด้วยน้ำแร่ธรรมชาติตราช้างและโซดาช้าง

สายธุรกิจเบียร์ ประเทศเวียดนาม
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศเวียดนามเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ท่ามกลางสภาวะการบริโภคที่ชะลอตัว อันเป็นผลกระทบจากข้อกำหนดตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 100 (Decree 100) และฉบับที่ 168 (Decree 168)

นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน กรรมการผู้จัดการของซาเบโก้ กล่าวว่า “แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่ Bia Saigon ยังสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดเบียร์ในประเทศเวียดนาม โดยเรายังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเสริมสร้างตราสินค้า ขับเคลื่อนวัตกรรมผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และผลักดันเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (“ESG”) เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมรองรับการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต โดยมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลัก 4 ประการ อันจะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ”

กลยุทธ์หลัก 4 ประการ ประกอบด้วย

  • เสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาด (Strengthen Market Leadership): รักษาความเป็นเบียร์อันดับ 1 ในประเทศเวียดนามของ Bia Saigon พร้อมทั้งเดินหน้าเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดสินค้าเมนสตรีม (mainstream) อย่างต่อเนื่อง
  • ขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อการเติบโต (Accelerate Innovation to Drive Growth): เดินหน้าลงทุนด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตของรายได้ โดยกลุ่มได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เบียร์ 333 Pilsner และ Bia Saigon Chill ในรูปแบบกระป๋องขนาด 250 มล. เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับราคาเป็นพิเศษ และผู้ที่ต้องการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่น้อยลง นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว Bia Lac Viet รูปโฉมใหม่ที่มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตราสินค้า รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ขึ้นเพื่อพัฒนาสูตรและบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะ
  • การดำเนินงานที่เป็นเลิศ (Operational Excellence): เสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรและความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานด้วยการใช้วัตถุดิบและพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่งสินค้าด้วยการพัฒนาการบริหารคลังสินค้าและกระบวนการขนส่ง และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซและโมเดิร์นเทรด โดยหนึ่งในการดำเนินการที่สำคัญในปีนี้คือการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของซาเบโก้ในบริษัทร่วม Saigon Binh Tay Beer Group JSC (Sabibeco) จากร้อยละ 21.8% เป็น 65.9% ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพจากการทำงานร่วมกัน และขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะการผลิตกระป๋อง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มตราสินค้า Sagota ของ Sabibeco เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ อันจะช่วยเสริมแกร่งความเป็นผู้นำของซาเบโก้ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม
  • ขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่ดีตามหลัก ESG (Drive Positive Impact through ESG Commitments): เดินหน้าสู่เป้าหมายด้าน ESG โดยทยอยเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มสัดส่วนการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ บริหารจัดการน้ำตามแนวทางการใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ ยกระดับด้านการกำกับดูแลกิจการและความโปร่งใส และร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นในด้านการบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงให้การสนับสนุนด้านกีฬาและวัฒนธรรม

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เป็น 49,326 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคในทุกช่องทาง ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมที่ลดลง ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงร้อยละ 6.3 เป็น 8,718 ล้านบาท

นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า “กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรายังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่การบริโภคชะลอตัวลง เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้ตราสินค้าหลัก พร้อมขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคทุกที่ ยิ่งไปกว่านั้น การรวมธุรกิจและการดำเนินงานของ F&N เข้ามาอยู่กับกลุ่มไทยเบฟ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งจากการผนึกกำลังกัน และยกระดับกลยุทธ์ด้านช่องทางการจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เพิ่มศักยภาพของกลุ่มให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกโอกาสของการดื่ม ควบคู่ไปกับการยึดมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน”

กลุ่มเดินหน้าตามกลยุทธ์ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องผ่าน 4 เสาหลัก ได้แก่

  1. เสริมแกร่งตราสินค้าหลัก (Strengthen Core Brands):
  • กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เดินหน้าลงทุนด้านการตลาดและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมและแข็งแกร่งในทุกตลาด รวมถึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น
  • โออิชิ กรีนที ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดผ่านแคมเปญ “โออิชิ กรีนที รู้สึกดีทุก TEA เลย” ซึ่งเน้นสื่อสารถึงคุณประโยชน์ของสารแอลธีอะนีน (L-Theanine) ในชาเขียวที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ภายใต้แนวคิด “Positivi-Tea” ที่สนับสนุนให้ทุกคนค้นหาความสุขในทุกช่วงเวลา พร้อมทั้งขยายการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ ด้วยการผลักดันโออิชิให้เป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มทางเลือกที่เหมาะกับหลากหลายโอกาส
  • คริสตัลเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำและจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ในตลาดน้ำดื่มของประเทศไทย ด้วยกระบวนการผลิต 19 ขั้นตอนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากล ซึ่งมุ่งเน้นการใส่ใจรักษาสิ่งแวดล้อม โดยคริสตัลได้ดำเนินโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อาทิ การเปิดตัวแคมเปญ “คริสตัล เซฟพื้นที่สีฟ้า” และการเปลี่ยนไปใช้ฝาแบบติดอยู่กับขวดเพื่อลดปริมาณพลาสติกที่ลงสู่ท้องทะเลและทำลายสิ่งแวดล้อม การดำเนินการเหล่านี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของไทยเบฟในการขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
  • เครื่องดื่มอัดลมเอส ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตที่เหนือกว่าตลาดผ่านแคมเปญที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยต่อยอดแนวคิด “Born to be Awesome เกิดมาซ่า..กล้าเป็นตัวเอง” สู่การเปิดตัวแคมเปญ “เอส โคล่า เงยหน้าไปด้วยกัน” ที่สนับสนุนให้ผู้บริโภค Gen Z กล้าที่จะก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ เพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ นอกจากนี้ เอสยังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในฐานะผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก FIVB ปี 2025พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “เสิร์ฟเอส เชียร์ไทยให้ AWESOME” ที่มาพร้อมกระป๋องลายพิเศษในธีมวอลเลย์บอลให้ได้สะสม และกิจกรรมสุดพิเศษที่เปิดโอกาสให้แฟน ๆ วอลเลย์บอลได้มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด
  • กลุ่มได้ต่อยอดการผนึกกำลังจากการรวมธุรกิจและการดำเนินงานของ F&N ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นมใหม่ ๆ ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึง NutriWell (นิวทริเวล) เครื่องดื่มนมถั่วเหลืองพรีเมียม ซึ่งได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice) ภายใต้แนวคิด ‘Better Health and Wellness for a Better Life วิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีและสมดุล เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น’ ที่มาพร้อมกับกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการขยายจุดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ เพื่อสร้างการรับรู้ การเข้าถึงสินค้า และการทดลองสินค้า ณ จุดขาย ในส่วนของ Magnolia กลุ่มยังคงเดินหน้าสร้างความตื่นเต้นกับตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวไอศกรีม ‘Magnolia HERSHEY’s’ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคไปยังกลุ่มใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์สุดพิเศษแก่กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบช็อกโกแลตโดยเฉพาะ

2. การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ (Reach Competitively): เสริมสร้างขีดความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านจุดขายในประเทศไทยกว่า 600,000 จุด รวมทั้งเครือข่ายการกระจายสินค้าในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่ครอบคลุมทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านโชห่วย ตลอดจนช่องทางการให้บริการอาหารในโรงแรม ร้านอาหาร และบริการจัดอาหารนอกสถานที่ (HORECA)

3. ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต (Digital for Growth): เสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งนำข้อมูลเชิงลึกมาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ และขยายช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซ ครอบคลุมทั้ง B2B ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์รายใหญ่ และ D2C บนแพลตฟอร์มของกลุ่มเอง อาทิ Sermsuk Click ที่รวมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของกลุ่มไว้ในที่เดียวกัน

4. สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth): กลุ่มได้ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทางสร้างประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนี้ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยและไม่มีน้ำตาล รวมถึงเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมาย ‘ทางเลือกเพื่อสุขภาพ’ พร้อมทั้งดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และการติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของโรงงาน

ธุรกิจอาหาร
ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน เป็น 16,563 ล้านบาท อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความต้องการในตลาดโดยรวม นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงเป็น 1,578 ล้านบาท

นายไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า “เราเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอาหารด้วยกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการขยายสาขาใหม่ การขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายที่แท้จริง การเสริมแกร่งพื้นฐานทางธุรกิจ และการพัฒนาด้านความยั่งยืน เพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าประทับใจ พร้อมสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกค้า พนักงาน และชุม”

กลยุทธ์หลัก 4 ประการที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอาหารสู่ความสำเร็จในระยะยาว ได้แก่

1. การขยายสาขาใหม่ (New Store Expansion):

  • เพิ่มจุดให้บริการร้านอาหารในพื้นที่ยุทธศาตร์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงร้านอาหารของกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น
  • พัฒนารูปแบบร้านใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับทำเลและกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายและดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคใหม่ ๆ

2. การขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายที่แท้จริง (Driving Organic Growth):

  • ขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายในสาขาที่มีอยู่ ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าสนใจ และการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ
  • ชาบูชิซึ่งเป็นร้านในกลุ่มโออิชิเดินหน้าปรับโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้น 3 สิ่งสำคัญ ได้แก่ คุณภาพ ความสร้างสรรค์ และช่วงเวลาแห่งความสุข เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

3. การเสริมแกร่งพื้นฐานทางธุรกิจ Strengthen Business Fundamentals:

  • พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้วยการบูรณาการหลักสูตรฝึกอบรมให้สอดคล้องกันสำหรับแบรนด์ร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อรักษามาตรฐานในการให้บริการลูกค้าที่ดี และพัฒนาทักษะที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน เพื่อให้สามารถทำงานในหลายแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานด้วยการจัดสรรจำนวนพนักงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามระบบวิเคราะห์การจัดการแรงงาน (labor matrix system) การสร้างรายงานสรุปภาพรวมของการดำเนินงานดิจิทัล (digital dashboards) และการลงทุนในระบบดิจิทัลต่าง ๆ เช่น ตู้จำหน่ายอาหารดิจิทัล ตลอดจนการจัดการห่วงโซ่อุปทานผ่านการผนึกกำลังภายในกลุ่มไทยเบฟเพื่อประสิทธิภาพให้การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งต่าง ๆ

4. การพัฒนาด้านความยั่งยืน (Embracing Sustainability):

  • ร่วมมือกับเจ้าของพื้นที่ในการดำเนินโครงการจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความร่วมมือกับชุมชน
  • ปลูกฝังและบูรณาการแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจอาหาร เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การพัฒนาที่ยั่งยืน
นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ กล่าวว่า “ความยั่งยืนเป็นรากฐานสำคัญของทุกมิติในการดำเนินธุรกิจของไทยเบฟ โดยเราได้น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะทรง ‘สืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร’ พร้อมด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ทั้ง 17 ประการมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกลุ่ม เพื่อสร้างลัพธ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม”


ข้อมูลวันที่ 30/09/2025